1. รูปภาพสินค้า

รูปภาพสินค้าที่มีคุณภาพดีจะสามารถเพิ่มการดึงดูดให้ผู้ซื้อการคลิกรูปภาพ และเพิ่มอัตราการคลิกผ่านของสินค้า
รูปภาพสินค้าควรมีความชัดเจนและไม่น้อยกว่า 5 ภาพ (ด้านหน้า/ด้านหลัง/ด้านข้าง/ภายใน/วัสดุ) แนะนำให้พื้นหลังเป็นสีขาวหรือพื้นหลังที่ช่วยเน้นตัวสินค้าให้ดูเด่นขึ้น
สินค้าควรอยู่ตรงกลางของภาพ และไม่ควรเกิน 3/4 ของขนาดภาพ

ข้อสังเกต

หากสินค้าที่ไม่มีแบรนด์ กรุณาระมัดระวังอย่าใส่โลโกแบรนด์ในรูปภาพสินค้า และรูปภาพสินค้าไม่สามารถมีลายน้ำของร้านค้าอื่นได้ มิฉะนั้นแพลตฟอร์มจะถือว่าเป็นการละเมิดหรือเป็นการโขมยรูปภาพ จะทำให้ร้านค้าถูกลงโทษตัดคะแนนได้

2. ชื่อสินค้า

ชื่อสินค้าที่ดีสามารถเพิ่มโอกาสให้สินค้าของเราได้รับการมองเห็นที่มากขึ้น และผู้ใช้งานเหล่านี้ถือเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพ เนื่องจากพวกเขามีความสนใจในสินค้าที่พวกเขากำลังมองหา ซึ่งหมายความว่ามีความต้องการซื้อสินค้านั้นสูง

ข้อสังเกต
ชื่อสินค้าต้องเป็นไปตามกฎของแพลตฟอร์มและอย่าใช้คำที่ผิดกฎหมาย*

ผู้ขายสามารถตั้งชื่อสินค้าได้ตามสูตรนี้ได้
ชื่อสินค้า = ผลิตภัณฑ์+แบรนด์ (ถ้ามี)+คุณลักษณะของสินค้า (รุ่น/ขนาด/สี/วัสดุ ฯลฯ) +(ข้อดีของสินค้า / effect) + คำค้นหายอดนิยมบนแพลตฟอร์ม

หากสินค้าที่ไม่มีแบรนด์ ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนแบรนด์ แต่ต้องทำให้ผู้ซื้อเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าสินค้าของเราคืออะไรและมีความพิเศษอย่างไร ตัวอย่าง
① สินค้าคือ กระโปรงพลีท
สามารถตั้งชื่อได้ดังนี้ กระโปรงพลีท (ผลิตภัณฑ์) + สีดำ (สี) + มีซับใน (ข้อดีของสินค้า) + กระโปรงสไตล์เกาหลี (คำค้นหายอดนิยม)
ชื่อสินค้ารวมเป็น กระโปรงพลีท สีดำ มีซับใน สไตล์เกาหลี

② สินค้าคือ หูฟังโซนี่
สามารถตั้งชื่อได้ดังนี้ หูฟัง (ผลิตภัณฑ์) + โซนี่ Sony (แบรนด์) + WF-1000XM5 สีขาว (รุ่น/สี) + ลดเสียงรบกวน (ข้อดีของสินค้า) + หูฟังบลูทูธ (คำค้นหายอดนิยม)
ชื่อสินค้ารวมเป็น หูฟังโซนี่ Sony WF-1000XM5 สีขาว ตัดเสียงรบกวน หูฟังบลูทูธ

สูตรในการตั้งชื่อสินค้าไม่ได้มีเพียงแบบนี้แบบเดียวเท่านั้น การเรียงลำดับก็เช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องเขียนคำสำคัญของสินค้านั้นออกมาให้ชัดเจน และบ่งบอกถึงตัวสินค้ามากที่สุด และอย่าลืมว่าต้องปฏิบัติตามกฎของแพลตฟอร์มและไม่ใช้คำที่ผิดกฎ

3. รายละเอียดสินค้า

รายละเอียดสินค้าต้องมีรูปภาพและคำอธิบาย เพื่อให้ผู้ซื้อเข้าใจในตัวสินค้าได้ดีที่สุดว่าสินค้าคืออะไร ใช้งานอย่างไร มีสรรพคุณอย่างไร เช่น
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ส่วนผสม/ขั้นตอนการใช้/ข้อควรระวัง
 
ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์: วัสดุ/คุณสมบัติ/วิธีใช้/อายุการใช้งาน

4. ราคาสินค้า

แนะนำให้ศึกษาเปรียบเทียบราคากับผู้ขายรายอื่นๆในตลาดก่อน โดยไม่ควรตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาด และไม่ควรตั้งต่ำเกินไป การตั้งราคาต่ำแล้วปรับขึ้นราคาภายหลังอาจทำให้ผู้ซื้อเกิดความไม่พึงพอใจได้ (เว้นแต่ว่าตั้งราคาต่ำเพื่อดึงดูดผู้เข้าชม และไม่ได้เปลี่ยนราคานั้นเป็นเวลานาน) ซึ่งราคาของสินค้าจะส่งผลต่ออัตราความสำเร็จของคำสั่งซื้อด้วย ดังนั้น จึงต้องวางแผนตั้งราคาสินค้าแต่ละรายการไว้ให้ดี

คำแนะนำการจัดการลำดับชั้นราคาสินค้า
① ราคาขายปกติ
ตั้งราคาเท่ากันหรือต่ำกว่ารายอื่นในตลาดเล็กน้อย
② ราคาโปรโมชั่นจะแบ่งตามระดับ S>A>B>C (ระดับสูงสุดจะมีส่วนลดมากที่สุด และราคาถูกที่สุด)
ระดับ S: เหมาะสำหรับกิจกรรมขนาดใหญ่ของแพลตฟอร์ม เช่น โปรโมชั่นประจำปี 11.11/12.12/วันปีใหม่/วันเกิดของแพลตฟอร์ม
ระดับ A: เหมาะสำหรับกิจกรรมระดับกลางของแพลตฟอร์ม เช่น กิจกรรมรายเดือน 5.5/6.6
ระดับ B: เหมาะสำหรับกิจกรรมขนาดเล็กของแพลตฟอร์ม เช่น วันเทศกาล
ระดับ C: เหมาะสำหรับกิจกรรมในหมวดหมู่สินค้าหรือกิจกรรมในช่วงกลางเดือน

ผู้ขายต้องกำหนดราคาตามช่วงเวลาและประเภทกิจกรรมที่แตกต่างกัน ต้องเปรียบเทียบราคาของคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอ และต้องเรียนรู้การปรับราคาตามสถานการณ์ให้เหมาะสม

5. ดูแลรีวิวสินค้าและเพิ่มรีวิวด้วยวิธีต่างๆ

รีวิวสินค้าที่ไม่ดี มีผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการซื้อของผู้ซื้อ ซึ่งจะเปลี่ยนใจไปซื้อรายอื่นได้
รีวิวสินค้าที่ดี จะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้ซื้อได้
โดยรีวิวที่ดีควรมีข้อความและรูปภาพ 3-5 ภาพ
คุณอาจจะเสนอของสมนาคุณให้กับลูกค้า เช่น ของขวัญหรือคูปองให้กับผู้ใช้ที่รีวิว
ที่สำคัญคือ: การรับประกันคุณภาพสินค้า เพราะเมื่อสินค้ามีคุณภาพดีก็ย่อมได้รับการรีวิวที่ดี


 



หากคุณสนใจใช้งาน BigSeller คุณสามารถสมัครใชงานฟรี
หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเดิมได้ที่
บริการของ BigSeller หรือ ทำไมต้องใช้ระบบ BigSeller ERP
Bigseller ขอขอบคุณสำหรับการเข้าชมและหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณ พวกเราจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ โปรดติดตาม Blog ของ Bigseller เพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการขายอื่นๆเพิ่มเติม
Line oa:@bigseller