Blog > การตลาด > FOMO Marketing คืออะไร? เทคนิคเพิ่มยอดขายที่ผู้ค้าขายต้องลอง!

FOMO Marketing คืออะไร? เทคนิคเพิ่มยอดขายที่ผู้ค้าขายต้องลอง!

น้องบิ๊ก 29 ต.ค. 2024 03:35

FOMO คือคำย่อจาก “Fear of Missing Out” ซึ่งหมายความได้ว่า ความกลัวที่จะพลาดโอกาสอะไรบางอย่างไป หรือกลัวที่จะไม่รู้เหมือนที่คนอื่นรู้ การกลัวตกกระแส จิตวิทยานี้บ่งบอกถึงความวิตกกังวลที่ผู้คนรู้สึกเมื่อรู้สึกว่าพวกเขาอาจพลาดโอกาสหรือประสบการณ์ที่ดี โดยเฉพาะในสถานการณ์การซื้อขาย ผู้บริโภคมักไม่อยากพลาดโปรโมชั่นหรือสินค้าพิเศษ สำหรับผู้ขายอีคอมเมิร์ซ การใช้กลยุทธ์ FOMO ในการตลาดสามารถช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อของลูกค้าและเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. การกำหนดเวลา

การกำหนดเวลาเป็นวิธีคลาสสิกของการทำการตลาด FOMO โดยการตั้งเงื่อนไขโปรโมชั่นที่มีเวลาจำกัด ผู้ขายสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอาจจัดโปรโมชั่น “ลดราคา 20% ใน 24 ชั่วโมง” ลูกค้าจะเห็นข้อความนี้และอาจจะตัดสินใจซื้อทันทีเพราะกลัวที่จะพลาดโอกาส เช่น รองเท้าออกกำลังกายจากแบรนด์หนึ่งที่ลดราคาในช่วงโปรโมชั่น ลูกค้าเห็นว่า “เหลือเวลาอีก 10 ชั่วโมง” จะรู้สึกตึงเครียดและมีแนวโน้มที่จะซื้อ


2. การแจ้งเตือนนับถอยหลัง

การเพิ่มตัวนับถอยหลังในหน้าเว็บสินค้าหรือโปรโมชั่นสามารถสร้างความรู้สึกเร่งด่วนได้ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอาจมีการแจ้งเตือนว่า “เหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมง” ข้อความนี้สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว ลูกค้าเห็นเวลาที่ลดน้อยลงจะรู้สึกไม่สบายใจและต้องการซื้อโดยเร็ว


3. สินค้าหมดแล้วหมดเลย

การใช้กลยุทธ์ “เหลือเพียง XX ชิ้น” สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความหายากของสินค้า วิธีนี้จะกระตุ้นจิตใจการแข่งขันของผู้บริโภค ทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น ร้านค้าออนไลน์ประกาศว่าวางจำหน่ายนาฬิกาแบบจำกัดจำนวน โดยระบุว่า “เหลือเพียง 5 ชิ้น” ลูกค้าหลายคนที่เห็นข้อความนี้มักจะรีบสั่งซื้อเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่เป็นเอกลักษณ์ กลยุทธ์ทางการตลาดนี้ทำให้สินค้ามีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น


4. การแสดงยอดขาย

การแสดงให้เห็นว่ามีลูกค้าคนอื่นกำลังซื้อสินค้านั้นอยู่ สามารถสร้างประสบการณ์ทางสังคมที่ทำให้สินค้าเชื่อถือได้ ตัวอย่างเช่น หน้าเพจของสินค้าบำรุงผิวที่มีข้อความว่า “มีคนซื้อไปแล้ว 100 คน” ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้านั้นเป็นที่นิยม แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ฉันก็ควรซื้อ” หากลูกค้าเห็นว่าตนเองมีทางเลือกเหมือนกับคนอื่น พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะซื้อมากขึ้น


5. การพิสูจน์ทางสังคม

การรีวิวและคำแนะนำจากผู้ใช้สามารถช่วยเพิ่มความเชื่อถือของผู้บริโภค โดยการแสดงผลตอบรับจริงจากลูกค้าจะทำให้ลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อรู้สึกว่าสินค้านั้นน่าซื้อ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแสดงความคิดเห็นจากลูกค้าเกี่ยวกับหูฟังว่า “นี่คือหูฟังที่ดีที่สุดที่ฉันเคยใช้ ถ้าพลาดไปจะเสียใจ” คำพูดนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้า แต่ยังทำให้พวกเขากลัวที่จะพลาดสินค้าดีๆ


6. สินค้าพิเศษ

การเปิดตัวสินค้าลิมิเต็ดหรือสินค้าพิเศษสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์หนึ่งอาจเปิดตัวน้ำหอมเฉพาะในช่วงเทศกาลที่วางขายเฉพาะบนเว็บไซต์ของตนเอง โดยระบุว่า “ขายเฉพาะที่นี่” กลยุทธ์นี้ขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อโดยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าหากไม่ซื้อทันที อาจจะพลาดโอกาสดีๆ ที่ไม่สามารถหาซื้อได้อีก


สรุป

โดยการใช้กลยุทธ์ FOMO อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ขายอีคอมเมิร์ซสามารถเพิ่มความต้องการซื้อของลูกค้าและกระตุ้นยอดขายได้ กลยุทธ์การตลาดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอีกด้วย หวังว่า6 เทคนิคดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ ยังไงก็เอาไปลองปรับใช้กันได้ตามความเหมาะสมของตนเอง

ในการใช้กลยุทธ์การตลาด FOMO ฟังก์ชัน การสร้างโปรโมชั่นส่วนลด ของ BigSeller จะช่วยให้ผู้ขายตั้งค่าลดราคาแบบจำกัดเวลาและกิจกรรมการขายแบบด่วน เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ ฟังก์ชัน การแจ้งเตือนสต็อกขั้นต่ำ จะช่วยให้ผู้ขายสามารถติดตามระดับสต็อกได้แบบเรียลไทม์ สร้างความรู้สึกขาดแคลนให้กับลูกค้า ทำให้รู้สึกว่าหากไม่ซื้อทันทีอาจพลาดสินค้าที่ต้องการ และแจ้งเตือนผู้ขายสามารถเตรียมสต็อกได้อีกด้วย การรวมฟังก์ชันทั้งสองนี้จะช่วยให้ผู้ขายสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มอัตราการแปลงลูกค้าได้มากขึ้น

BigSeller ระบบจัดการสินค้า ออเดอร์และสต็อกออนไลน์
💬 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
☎ โทร 02-252-8968
📱 Line: @bigseller