Blog > ขายของออนไลน์ > เทศกาลเจนนี่: อินไซต์ไลฟ์ขายของยุคใหม่ และ 5 กลยุทธ์ที่แบรนด์เล็กต้องรู้ เพื่ออยู่รอดและโตได้จริง

เทศกาลเจนนี่: อินไซต์ไลฟ์ขายของยุคใหม่ และ 5 กลยุทธ์ที่แบรนด์เล็กต้องรู้ เพื่ออยู่รอดและโตได้จริง

มิวมิว 14 พ.ย. 2025 02:40Copy link & title

ในช่วงปีที่ผ่านมา กระแส “เทศกาลเจนนี่” ได้กลายเป็นไวรัลสำคัญของวงการไลฟ์คอมเมิร์ซ เมื่อดาราและอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากหันมา ไลฟ์ขายของ พร้อมเปิดพื้นที่ให้หลายแบรนด์เข้ามาขายร่วมกันบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น TikTok, Facebook, Shopee Live และ Lazada Live
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ไลฟ์ขนาดใหญ่สามารถดึงผู้ชมจำนวนมหาศาลในช่วงเวลาสั้น ๆ กลายเป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ที่ทำให้ร้านเล็กจำนวนมากรู้สึกว่า “ตลาดออนไลน์ไม่เท่าเดิมอีกต่อไป”แต่ในมุมมองของ BigSeller นี่เป็นทั้งความท้าทายและ “โอกาสสำคัญ” ถ้าร้านเล็กเข้าใจเกม ก็ยังเติบโตได้อย่างแข็งแรงในยุคที่ดาราแย่งตลาด


เมื่อดาราเริ่มไลฟ์ขายของ—สิ่งที่เปลี่ยนไปในตลาดออนไลน์

จากข้อมูลหลายแหล่งพบว่า ไลฟ์ที่มีอินฟลูเอนเซอร์หรือดาราเข้าร่วมนั้นมีพลังทางการตลาดสูงกว่า เช่นงานวิจัยพบว่า Live Streaming + Influencer Marketing มีผลสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมีนัยยะ MDPI+2ResearchGate+2 นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Live Shopping สามารถให้ Conversion สูงกว่าวิดีโอขายของทั่วไปถึงประมาณ 22% Teleprompter+1
สิ่งนี้ทำให้ร้านเล็กต้องเผชิญ 3 ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ:

1) Reach ลดลง เพราะ Algorithm รักคอนเทนต์ “แรงกว่า”

แพลตฟอร์มต่าง ๆ มักดันคอนเทนต์ที่มี Engagement สูง ซึ่งดารามีโดยธรรมชาติ ทำให้ไลฟ์ของร้านเล็กถูกกลบง่ายกว่าเดิม แม้จะทำคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง

2) ต้นทุนโฆษณาเพิ่ม แต่ยอดขายไม่คุ้มเท่าเดิม

ผู้ซื้อถูกดึงไปช้อปในไลฟ์ใหญ่ที่มีสินค้าหลากหลายกว่า โปรโมชั่นแรงกว่า และมีใบหน้าที่ผู้คนไว้ใจมากกว่า ทำให้ค่าโฆษณาแพงขึ้นในขณะที่ยอดขายลดลง

3) ความเชื่อใจถูกนิยามใหม่

จากที่เคยเลือกซื้อด้วยคุณภาพสินค้า → กลายเป็น “ของที่ขายโดยคนที่ไว้วางใจได้”
ร้านที่ไม่มีตัวแทนหน้าแบรนด์จึงเสียเปรียบในมุมมองผู้บริโภค
แต่ข่าวดีคือ…ร้านเล็กยัง “โตได้จริง” ถ้าเข้าใจพฤติกรรมและเล่นเกมให้ถูกวิธี

5 กลยุทธ์เอาตัวรอดของแบรนด์เล็กในยุคดาราแย่งตลาด


1. โฟกัสจุดแข็งเฉพาะของร้าน (Niche Positioning)

อย่าลงสนามแข่งตรงกับดาราที่มีทั้งชื่อเสียงและทุนสูงกว่า
จงเล่นในสนามที่แบรนด์เล็กทำได้ดีกว่า เช่น:
• สินค้าที่มีเรื่องราวเฉพาะ
• งานแฮนด์เมดหรือสินค้าท้องถิ่น
• รีวิวจากลูกค้าจริง
• การตอบกลับที่ใกล้ชิดกว่าและรวดเร็วกว่า
จุดแข็งแบบนี้คือ “สิ่งที่ไลฟ์ใหญ่ทำเลียนแบบได้ยากที่สุด”

 

2. ใช้กลยุทธ์ Co-Live เพื่อเพิ่มการมองเห็น

แทนที่จะสู้แบบตัวต่อตัว ให้วางตัวเป็น “พาร์ตเนอร์ของ Creator” แทน
ตัวอย่างที่ทำได้:
• ซื้อเวลาสั้น ๆ ให้ดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้า
• ส่งผลิตภัณฑ์ให้ micro-influencer ที่คนดูเชื่อใจ
• แทรกโปรหรือนำเสนอสินค้าในช่วงพีคของไลฟ์
• ใช้ BigSeller เพื่อซิงก์ออเดอร์และสต็อกจากหลายช่องทางแบบเรียลไทม์
โดยเฉพาะวันที่คุณมีหลายไลฟ์ร่วมกัน BigSeller จะช่วยให้ไม่หลุดออเดอร์แม้แต่ชิ้นเดียว

 

3. เล่นเกม Algorithm ให้เป็น: เน้น Engagement มากกว่า ยอดดู

การไลฟ์ให้โต ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากจำนวนคนดูเยอะแต่ต้องเริ่มจาก “ปฏิสัมพันธ์” ที่ต่อเนื่อง
เคล็ดลับที่ใช้ได้จริง:
• ไลฟ์ 3–4 ครั้งต่อสัปดาห์
• ทำ Warm-up 5–10 นาทีแรก
• ตั้งคำถามง่าย ๆ กระตุ้นคอมเมนต์
• กระตุ้นให้กดหัวใจ แชร์ หรือพิมพ์คำตอบ
• ปิดท้ายด้วย CTA ชัดเจน เช่น “กดหัวใจไว้ เดี๋ยวแจกโค้ดท้ายไลฟ์”
Algorithm ของ TikTok / Facebook ชอบคอนเทนต์ที่มี Engagement มากกว่า “จำนวนคนดู”

 

4. ใช้เครื่องมือเพื่อลดงานหลังบ้าน แทนการเพิ่มงบโฆษณา

แบรนด์เล็กไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินมาก แต่ต้องใช้เครื่องมือให้ถูกจุด เช่น:
• BigSeller – รวมออเดอร์หลายแพลตฟอร์ม, เชื่อมสต็อกอัตโนมัติ, จัดการขนส่งครบในที่เดียว
• CapCut / Canva – ทำวิดีโอโปรโมตได้ในไม่กี่นาที
• TikTok Studio Analytics – ดูเวลาพีคของผู้ชม
• AI Tools – ช่วยคิดสคริปต์ไลฟ์และแคปชันอย่างมืออาชีพ
เมื่อหลังบ้านจัดการง่ายขึ้น ร้านจะมีเวลามากขึ้นไปอยู่หน้ากล้องและสร้างคอนเทนต์คุณภาพ

 

5. สื่อสารด้วยความจริงใจ เพื่อสร้างความผูกพันระยะยาว

ความจริงใจคืออาวุธลับของแบรนด์เล็ก เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญมากที่สุด
สิ่งที่นำมาใช้ได้ทันที:
• แชร์เบื้องหลังร้าน
• รีวิวจากลูกค้าจริง
• เล่าเรื่องที่มาของสินค้า
• บอกข้อดี–ข้อจำกัดอย่างตรงไปตรงมา
• พูดคุยแบบเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเกินไป
ลูกค้าจะรู้สึกใกล้ชิด และกลับมาซื้อซ้ำง่ายกว่าการขายด้วยโปรแรง ๆ เพียงอย่างเดียว


สรุป: แบรนด์เล็กชนะได้ ถ้าเข้าใจเกมและเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

แม้ดาราจะครองพื้นที่ไลฟ์ขายของได้อย่างรวดเร็ว แต่แบรนด์เล็กก็มีจุดแข็งที่ไม่แพ้ใคร ทั้งความใกล้ชิด ความจริงใจ และความคล่องตัว หากวางกลยุทธ์ให้ถูกต้อง และจัดการร้านด้วยระบบอย่าง BigSeller ที่ช่วยลดงานหลังบ้านและรวมทุกแพลตฟอร์มไว้ในที่เดียว คุณจะมีเวลาโฟกัสที่งานสำคัญที่สุด — การขายและสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแรงในระยะยาว ไม่ว่า “เทศกาลเจนนี่” จะกลับมาอีกกี่ครั้ง ร้านของคุณก็พร้อมโตได้เสมอ

แหล่งอ้างอิง: https://surl.li/nvmgyr
https://surl.li/mjtmdm

https://surl.li/zkdwbj

ใช้ BigSeller ก้าวสู่การเป็นผู้ค้ารายใหญ่