Blog > ขายของออนไลน์ > Black Friday 2025 คืออะไร? เริ่มเมื่อไหร่? ทำไมถึงสำคัญต่ออีคอมเมิร์ซ และวิธีขายให้ได้ยอดพุ่ง

Black Friday 2025 คืออะไร? เริ่มเมื่อไหร่? ทำไมถึงสำคัญต่ออีคอมเมิร์ซ และวิธีขายให้ได้ยอดพุ่ง

มิวมิว 24 พ.ย. 2025 07:42Copy link & title

Black Friday คืออะไร? ทำไมถึงเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของปี

Black Friday คือเทศกาลช้อปปิ้งที่เริ่มต้นในสหรัฐฯ หลังวัน Thanksgiving ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านค้าต่างลดราคาแบบจัดเต็มเพื่อกระตุ้นยอดขายปลายปี คำว่า “Black” มาจากการที่ร้านค้าทำรายได้มากพอจนตัวเลขในบัญชีจาก “ขาดทุน (แดง)” กลับมาเป็น “กำไร (ดำ)” นั่นเอง

ปัจจุบัน Black Friday ได้กลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่การซื้อขายออนไลน์สูงที่สุดทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผู้ซื้อคุ้นเคยกับแคมเปญใหญ่ปลายปีอยู่แล้ว

Black Friday 2025 จะเริ่มเมื่อไหร่?

ในปี 2025  Black Friday ตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2025 และตามด้วย Cyber Monday — 1 ธันวาคม 2025

ช่วงนี้เป็น “สัปดาห์ทองของอีคอมเมิร์ซ” ที่ผู้ขายสามารถทำยอดขายได้หลายเท่าในเวลาอันสั้น
 

อิทธิพลของ Black Friday ต่อวงการอีคอมเมิร์ซ

1. ยอดขายเพิ่มขึ้น 3–5 เท่าในช่วงเวลาเพียง 3–4 วัน

แพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop รายงานยอดสั่งซื้อพุ่งแบบก้าวกระโดดในช่วงเทศกาลนี้

2. ลูกค้าตั้งใจรอซื้อในวันจริง

กว่า 70% ของผู้ซื้อเก็บเงินไว้รอโปร Black Friday โดยเฉพาะ

3. การแข่งขันด้านราคาและบริการดุเดือดขึ้น

ลูกค้าเปรียบเทียบ “ราคา–ความเร็วจัดส่ง–รีวิว” แบบเรียลไทม์ ร้านค้าที่ระบบเร็วกว่าได้เปรียบมาก

4. วิดีโอและไลฟ์ขายของช่วยดัน Conversion สูงสุด

สินค้าหลายหมวดสร้างยอดขายหลักล้านในเวลาไม่กี่ชั่วโมงผ่านไลฟ์

5. ระบบหลังบ้านกลายเป็นปัจจัยชี้ชะตา

ร้านที่จัดการสต๊อกและออเดอร์ได้ดีมักทำยอดขายได้เกินคาดในวันจริง

คู่มือทำยังไงให้ขายดีใน Black Friday 2025

1. ตอบคำถามให้ชัด: จะขาย “อะไร” และ “ทำไมลูกค้าต้องซื้อช่วงนี้”

เลือกสินค้าโปรโมชันโดยดูจาก:

  • สินค้าขายดีย้อนหลัง

  • สินค้ามาร์จิ้นดี

  • สินค้าที่คู่แข่งโปรน้อย

  • สินค้าที่ลูกค้าชอบซื้อปลายปี

2.  เตรียมสต๊อกให้พอ + อัปเดตสต๊อกเรียลไทม์

Black Friday คือช่วงที่ oversell เกิดง่ายที่สุด
BigSeller สามารถช่วย:

  • ซิงก์สต๊อกทุกแพลตฟอร์มพร้อมกัน
  • เตือนสินค้าใกล้หมด
  • ลดปัญหาคำสั่งซื้อยกเลิก
  • ล็อคสต๊อกไว้สำหรับโปร Black Friday โดยเฉพาะ

ร้านที่สต๊อกแม่นยำจะมีคะแนนร้านดีและมีโอกาสขายซ้ำสูงที่สุด

3. รวมออเดอร์ทุกช่องทาง จัดการได้เร็วกว่า

BigSeller รวมออเดอร์จาก Shopee, Lazada, TikTok Shop, Facebook, LINE ไว้ในที่เดียว ทำให้:

  • พิมพ์ใบปะหน้าเร็วขึ้น
  • ลดเวลาการแพ็กลง 50%
  • ตรวจสอบสถานะอัตโนมัติ
  • ส่งของได้เร็วขึ้น → ลูกค้าพอใจมากขึ้น

4. ใช้ Auto Message กระตุ้นการปิดการขาย

Auto Message ช่วย:

  • แจ้งโปร Black Friday ให้ลูกค้ากดซื้อ
  • ดึงลูกค้าที่ทิ้งตะกร้า
  • แจ้งสถานะออเดอร์
  • ส่งข้อความขอบคุณแบบอัตโนมัติ

ช่วยเพิ่ม Conversion ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

5.  คำนวณกำไรก่อนลดจริง ไม่เสี่ยงขาดทุน

ใช้ BigSeller เพื่อตรวจ:

  • ราคาทุน
  • กำไรต่อชิ้น
  • ค่าขนส่ง
  • ค่าแพ็ก
  • ส่วนลดที่ตั้งไว้

จุดนี้สำคัญที่สุดเพราะหลายร้านลดจนกำไรหายโดยไม่รู้ตัว

6. ใช้วิดีโอและไลฟ์ให้มากกว่าปกติ

คอนเทนต์ที่สร้างยอดขายดีที่สุดช่วง Black Friday:

  • รีวิวสินค้าจริง
  • ไลฟ์ Flash Sale
  • วิดีโอเปรียบเทียบราคา
  • วิดีโอเปิดกล่อง

แพลตฟอร์มดันคอนเทนต์วิดีโอมากขึ้น โดยเฉพาะ TikTok Shop

สรุป

Black Friday 2025 คือโอกาสสำคัญที่ผู้ขายออนไลน์ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสูงที่สุดของปี และแข่งขันกันเลือกซื้อจากร้านที่ให้ความคุ้มค่า บริการรวดเร็ว และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ร้านค้าที่เตรียมตัวล่วงหน้า เข้าใจพฤติกรรมผู้ซื้อ และมีระบบจัดการหลังบ้านที่พร้อม จะสามารถคว้ายอดขายได้แบบก้าวกระโดด

เครื่องมืออย่าง BigSeller ช่วยให้ผู้ขายจัดการสต๊อก ออเดอร์ โปรโมชัน และ workflow ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด เพิ่มความเร็ว และยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้เหนือคู่แข่ง เมื่อทุกอย่างพร้อมตั้งแต่ก่อนถึงวันจริง คุณก็สามารถเปลี่ยน Black Friday ปีนี้ให้เป็นช่วงเวลาที่ร้านเติบโตได้มากที่สุดของปี

แหล่งอ้างอิง :

https://www.dhl.com/global-en/microsites/ec/ecommerce-insights/insights/reports/2025-black-friday-trends.html
https://queue-it.com/blog/black-friday-statistics
https://www.hostinger.com/tutorials/black-friday-statistics
https://www.mobiloud.com/blog/black-friday-trends


 

ใช้ BigSeller ก้าวสู่การเป็นผู้ค้ารายใหญ่