Blog > การตลาด > ไวรัล ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต Infinity Castle ในไทย ถอดรหัสความสำเร็จ

ไวรัล ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต Infinity Castle ในไทย ถอดรหัสความสำเร็จ

ฟ้า 26 ส.ค. 2025 09:21Copy link & title

ทำไม “ดาบพิฆาตอสูร” ถึงยังแรงไม่หยุด? เขาทำการตลาดยังไงให้ปัง?

นับตั้งแต่ปี 2019 ที่ ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba) ฉายอนิเมะซีซันแรกในญี่ปุ่น เรื่องราวของ “คามาโดะ ทันจิโร่” ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ไวรัลระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งด้วยงานภาพสุดประณีตจากสตูดิโอ Ufotable ดนตรีประกอบระดับเทพ และการเล่าเรื่องที่จับใจ ทำให้ชื่อของ “ดาบพิฆาตอสูร” กลายเป็นหนึ่งในไอคอนของวงการอนิเมะยุคใหม่
ผ่านมาหลายปี เรื่องนี้ได้มีทั้งมังงะฉบับสมบูรณ์ อนิเมะหลายซีซัน และภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลาย ล่าสุดกับภาพยนตร์อนิเมะเรื่องใหม่ Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba – To the Hashira Training & Infinity Castle Arc หรือชื่อไทยว่า ดาบพิฆาตอสูร: ปราสาทไร้ขอบเขต ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไทยวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ก็ยังไม่ทิ้งความไวรัลเช่นเคย
ปรากฏการณ์ความสำเร็จของ “ดาบพิฆาตอสูร” (Demon Slayer) ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างเนื้อหาที่เข้มข้น การผลิตที่มีคุณภาพ และกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด


เส้นทางสู่ความสำเร็จของ “ดาบพิฆาตอสูร”

1. เนื้อหาที่เข้มข้นและตัวละครที่มีพัฒนาการชัดเจน
เรื่องราวของ “คามาโดะ ทันจิโร่” และการต่อสู้กับอสูรสะท้อนถึงความรัก ความเสียสละ และการเติบโตของตัวละคร ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงและติดตามได้อย่างลึกซึ้ง
2. งานภาพและดนตรีระดับโลก
สตูดิโอ Ufotable ได้สร้างสรรค์ภาพและฉากแอ็กชันที่น่าทึ่ง พร้อมดนตรีประกอบที่เพิ่มอารมณ์ให้กับเรื่องราว ทำให้การรับชมเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ
3. การตลาดที่ตรงจุดและทันสมัย
การใช้โซเชียลมีเดียและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การแจกของพรีเมียมในโรงภาพยนตร์ การจัดนิทรรศการ Pop Up Store และการเปิดตัวภาพยนตร์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น วันแม่แห่งชาติ ช่วยสร้างกระแสและดึงดูดผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การตลาดที่ทำให้ “ปราสาทไร้ขอบเขต” กลายเป็นไวรัล

- เปิดตัวในช่วงเวลาที่เหมาะสม: การฉายในวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันแม่แห่งชาติ ทำให้มีผู้ชมจำนวนมากที่สามารถเข้าชมได้ในช่วงวันหยุดยาว
- ของพรีเมียมลิมิเต็ด: ทั้ง SF Cinema และ Major Cineplex ได้จัดเตรียมของสะสมพิเศษ เช่น โปสเตอร์ลายพิเศษ การ์ดสะสม และฟิกเกอร์ขนาดเล็ก เพื่อดึงดูดแฟนคลับ

- กิจกรรมและการโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย: การจัดกิจกรรมถ่ายรูปกับแบ็กดรอป และการโปรโมตผ่าน TikTok, X (Twitter), และ Instagram ช่วยสร้างกระแสและความตื่นเต้นให้กับผู้ชม
 

นิทรรศการ “Demon Slayer Pop Up Store” ที่ MBK Center
นิทรรศการนี้เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับและแบรนด์ โดยมีการจัดแสดงมุมถ่ายรูป ธีมอนิเมะ, History Room, Shopping Zone, และ Themed Café ที่มีเมนูพิเศษจากตัวละครในเรื่อง
 


 

ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
ภายใน 3 วันหลังจากการฉาย ภาพยนตร์ “ดาบพิฆาตอสูร: ปราสาทไร้ขอบเขต” สามารถทำรายได้ในประเทศไทยได้กว่า 100 ล้านบาท


บทสรุป

“ดาบพิฆาตอสูร” ไม่ได้เป็นเพียงอนิเมะที่มีเนื้อหาเข้มข้นและงานภาพโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง การผลิตที่มีคุณภาพระดับสูง กับ กลยุทธ์การตลาดที่เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ อย่างลึกซึ้ง จนสามารถสร้างปรากฏการณ์ไวรัลระดับประเทศ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่าง กว้างขวางและยั่งยืน
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงแนวทางที่ธุรกิจยุคใหม่ควรให้ความสำคัญ—ไม่ใช่แค่การสร้าง “สินค้า” ที่ดี แต่ต้องรู้จัก “เล่าเรื่อง” สื่อสารคุณค่า และเชื่อมต่อกับลูกค้าในจังหวะที่เหมาะสม
 
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ BigSeller ให้ความสำคัญเช่นกันในฐานะ แพลตฟอร์มช่วยบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์แบบครบวงจร BigSeller เข้าใจดีว่า การขายของในยุคดิจิทัลไม่ใช่แค่มีสินค้า แต่ต้องมี “กลยุทธ์” ทั้งในด้านการจัดการ การตลาด และประสบการณ์ของลูกค้า
หาก “ดาบพิฆาตอสูร” สร้างชื่อจากการเล่าเรื่องและบริหารแบรนด์อย่างมีกลยุทธ์
“BigSeller” ก็พร้อมเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ ผู้ขายออนไลน์ สร้างแบรนด์ของตัวเองให้ เติบโตแบบยั่งยืนในโลกการค้าแห่งการแข่งขันสูง เช่นเดียวกัน


แหล่งอ้างอิง: Sf Cinema , Major Group, MBK Center

 

ใช้ BigSeller ก้าวสู่การเป็นผู้ค้ารายใหญ่